บทวิจารณ์วรรณกรรม
“ไผ่แดง” แฝงคติธรรมนำความคิด
ของม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช
วรรณกรรม
“ไผ่แดง” เป็นนวนิยายยอดนิยมเรื่องหนึ่งที่
ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช
ได้เขียนขึ้นเพราะเห็นว่าสภาพสังคมไทยระส่ำระสายจากการแทรกแซงทางแนวคิดทางการเมืองหรือที่เรียกกันว่า
คอมมิวนิสต์
ซึ่งสิ่งนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับสังคมไทย
เพราะเป็นสังคมที่นับถือพุทธศาสนา เป็นสังคมที่มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ท่านจึงประพันธ์เพื่อเสียดสีแนวคิดทางการเมืองดังกล่าว แต่การเสียดสีของท่านนั้นดำเนินเรื่องได้อย่างอารมณ์ขัน
โดยผ่านการปะทะฝีปากกันระหว่างตัวละครที่เด่นสองตัวอย่างสมภารกร่างและแก่น แก่นกำจร
ทำให้เรื่องราวเข้าใจได้ง่ายและอ่านได้อย่างสนุกเพลิดเพลิน
นวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายการเมืองที่แสดงแนวคิดต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่ โดยมีแนวการเขียนเป็นนัยยั่วล้อ (Satire) ผู้ฝักใฝ่ในลัทธิการเมืองฝ่ายซ้ายว่าเป็นผู้ไม่รู้จริง
หากแต่เรียนรู้จดจำเอาตามตำราหรือทฤษฎีการเมือง
จึงไม่ได้สำเหนียกว่าลัทธิการเมืองดังกล่าวไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับสังคมไทย๑
นวนิยายการเมืองของไทยได้มีการพัฒนาการไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเมื่อพ.ศ.๒๔๗๕
ประเทศไยยังไม่ได้ปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง อำนาจทางการเมืองตกอยู่ในมือของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งใช้ลัทธิเผด็จการทางทหารได้เข้ามาแทรกความเป็นประชาธิปไตย
ทำให้ความเห็นความเหลื่อมล้ำต่ำสุดของชนชั้นในสังคม เห็นถึงความยุติธรรม ความไม่เสมอภาค และการขาดเสรีภาพซึ่งปรากฏให้เห็นได้ทั่วไปในสังคมไทยในสมัยนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสามัญชนและคนชั้นล่างผู้ยากไร้
______________________________________________________________________________
๑
ศึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. บทนำ
*********************************************************************************
ในนวนิยายเรื่อง
ไผ่แดง ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์
ปราโมชได้จำลองสังคมไทยในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ไม่ไกลไม่ใกล้จากกรุงเทพฯ หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าไผ่แดงก็ไม่มีใครทราบ เพราะบรรดากอไผ่ที่ขึ้นอยู่รอบบ้านก็ดี ขึ้นชายทุ่งก็ดี หรือที่ขึ้นอยู่บนโคกท้ายวัดก็ดีก็ล้วนเป็นกอไผ่ธรรมดา ซึ่งมีใบและลำต้นเป็นสีเขียว ซึ่งผิวของใบไผ่นั้นก็เป็นเพียงสีเหลืองไม่ปรากฏสีแดงหรือเคยมีสีแดงแต่ประการใด
แต่บางทีที่ชื่อไผ่แดงนั้นอาจมีอิทธิพลเหนือการกระทำของบุคคลบางคนที่ยึดถือเอาหมู่บ้านนั้นเป็นที่ทำมาหากินหรือบำเพ็ญพรต
หรือที่จะพูดกว้างๆก็ต้องเรียกว่าเป็นที่แสดงออกซึ่งตัวเอง เพราะชื่อ “ไผ่แดง”
ทำให้เป็นที่ชักจูงให้ผู้อ่านเกิดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ผู้แต่งได้ใช้ตัวละครหลักๆเพียง
๓ ตัว คือ สมภารกร่าง กำนันเจิม และแก่น
เก่นกำจร
หมู่บ้านไผ่แดงที่เคยสงบสุขเริ่มเกิดปัญหาขัดแย้งเมื่อแก่น แก่นกำจรนักเรียนสอบตกจากกรุงเทพฯ
ศึกษาเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์จากหนังสือต่างๆที่นำมาจากกรุงเทพฯ ว่าโชควาสนาแสนอาภัพของเขามิได้เกิดจากความผิดของตัวเขาเองที่ผลาญทรัพย์มรดกที่พ่อแม่ให้ไว้
หากแต่เกิดจากระบบสังคมที่ฟอนเฟะและระบอบเศรษฐกิจที่ทารุณขูดรีด “ เขาได้เห็นชีวิตและความเป็นอยู่อันแท้จริงของสังคม
หนังสือบางอย่างปลอบใจเขาให้รู้ว่าโชควาสนาอันอาภัพของเขานั้นมิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของเขาเลย แต่เป็นไปตามกำหนดของสังคมปัจจุบันและระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน
สังคมที่ฟอนเพะเน่าเหม็นน่าสะอิดสะเอียน
และระบบเศรษฐกิจที่ทารุณขูดรีด
ตั้งแต่บนหยาดเหงื่อ เลือดเนื้อและโครงกระดูกของคนเช่นเขา
และชาวบ้านอื่นในบางนี้
ยกเว้นกำนันเจิมซึ่งเป็นตัวแทนของระบบศักดินาและสังคมที่น่ารังเกียจ และสมภารกร่างผู้เป็นตัวแทนของชนชั้นต่ำศักดินา
และเป็นผู้ค้ายาเสพติดอย่างแรงคือ ศาสนา ” ๒ ดังนั้น เขาจำต้องตั้งตนเป็นศัตรู ขัดขวางการทำงานของทั้งสองคนทุกวิถีทาง ความเป็นคอมมิวนิสต์ของแกว่นปรากฏด้วยวาทกรรมที่แกว่นนำมาใช้พูดกับบุคคลทั่วไป
เพื่อเกิดความน่าเสื่อมใสหรือหมั่นไส้ ก็แล้วแต่แกว่นจะพูดกับใคร เช่น
“ แผ่นดินยังแห้งผาก แต่วันหนึ่งมันจะชุ่มโชกด้วยเลือด” เขาจะต้องจำคำนี้ไว้พูดกับ
เจ้าแทน เจ้าถม เจ้าเอิบ เจ้าซ้อน เจ้าเทียม เจ้าสายและสหายขอเขาอีก
๒๐ กว่าคน ทุกคนเป็นชาวนาที่มีนาน้อยหรือไม่มีเลย
ต้องเช่าเขาทำและถูกเจ้าของนาขูดอยู่เป็นนิตย์
คนเหล่านั้นนับถือเขา เชื่อฟังเขา ค่ำๆก็มักจะมานั่งกับเขาที่บ้าน ฟังเขาคุยอธิบายถึงหลักการอันสูงส่ง
หลักการและวิถีชีวิตแผนใหม่ที่มีแต่ความหวัง๓
______________________________________________________________________________
๒
ศึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๒๔
๓_______________. ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๒๖
******************************************************************************
คำสั่งสุดท้ายที่แกว่นให้พวกพ้องของเขาเมื่อคืนคือ
“สหาย! พรุ่งนี้เตรียมมีดไว้ให้พร้อม
แล้วคอยฉันอยู่ที่โคกกอไผ่หลังวัด ใครมาจากไหนเราจะเห็นก่อน
ถ้ามันปักเสารั้วหรือรื้อบ้านก็ตีเลย สู้กันให้มันยับไป เข้าใจไหมสหาย? เราต้องสู้จนถึงที่สุดเพราะไม่มีใครอีกทีเขาจะต่อสู้เพื่อเรา...๔”
“สหาย! ขอให้เราพูดกันอย่างเพื่อนเถิด สหายจงอย่าฉวยโอกาสในเมื่อประชาชนเดือดร้อนคับขัน
ประกาศลัทธิอันล้าสมัยของสหายเลย วันหนึ่งการกระทำของสหายเช่นนี้จะถูกจับได้
สหายจะต้องรับผิดชอบต่อชนชั้นกรรมาชีพ จริงนะสหาย!
เราเตือนอย่างเพื่อน!๕”
แกว่นพูดกับกำนันเจิม
“ไม่มีประโยชน์หรอกกำนัน
สำหรับคนอย่างนายอำเภอที่เป็นคนชนชั้นศักดินา
เสียงของเงินย่อมดังกว่าเสียงร่ำร้องและร่ำไห้ของประชาชนผู้ยากจนเสมอ
กำนันเองก็เถิด ”
แกว่นพูดกับสมภารกร่าง
“เวลานี้ประชาชนใฝ่สันติทั่วโลก
กำลังลงชื่อเรียกร้องสันติภาพ หนังสือพิมพ์ที่มาจากรุงเทพฯ ก็เต็มไปด้วยข่าวนี้
คนไทยเรากำลังสนใจมาก พวกเราเห็นว่าไผ่แดงก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก
จึงออกชักชวนให้คนบางนี้ได้ลงชื่อเรียกร้องสันติภาพทั่วหน้ากัน๖”
“ถ้าเรามีพระสงฆ์ที่ชอบค้าสงครามอย่างนี้
เราเห็นจะต้องสู้ศึกสองด้านเสียกระมัง”
“สมภารอย่าไปฟังเด็กๆพวกนั้นเลย
ฟังฉันพูดให้ตลอดดีกว่า พูดกันสองคนอย่างนี้แหละดี ฉันในฐานคนบางไผ่แดง
ในฐานเป็นคนไทยผู้รักสันติภาพ ในฐานราษฎรผู้เสียภาษี
ในฐานเป็นราษฎรผู้เป็นเจ้าของประเทศ ในฐานเป็นชาวโลก ในฐานที่เป็นหัวหน้าครอบครัว
และในฐานะที่เราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน๗”
______________________________________________________________________________
๔
ศึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๓๑
๕ ______________.ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๓๓
๖ ______________.ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๓๙
๗ ______________.ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๔๑
***********************************************************************************************************
ความหมายของระบบการปกครองคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม
คอมมิวนิสต์
เป็นระบบเศรษฐกิจการเมืองและสังคมแบบหนึ่งของลัทธิสังคมนิยมที่มีอุดมการณ์ให้รวมทรัพย์สินทั้งปวงเป็นสมบัติส่วนกลางของชุมชน
ไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และให้จัดสรรรายได้แก่บุคคลอย่างเสมอภาคกัน
ทั้งนี้เพื่อแก่ปัญหาความทุกข์ยากของคนในสังคม อันเป็นผลจากความไม่เสมอภาคในทรัพย์สิน๘
สังคมนิยม
เป็นทฤษฎีเศรษฐกิจและการเมือง ที่มีหลักการให้รัฐบาลหรือส่วนรวมเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต
ตลอดจนการจำแนกแจกจ่าย และระเบียบการบริโภคผลผลิต๙
แนวคิดแบบสังคมนิยม
คือแนวคิดที่มุ่งสะท้อนปัญหาทางสังคมของส่วนรวมมากกว่าเรื่องราวส่วนบุคคล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพทั้งในด้านเพื่อปากเพื่อท้อง
เพื่อสิทธิและเพื่อความเสมอภาค ทั้งนี้เพราะผู้เขียนต้องการใช้ร้อยกรองเป็น “สื่อ”
ในการตีแพร่สภาพความทุกข์ยากของชนชั้นกรรมาชีพและเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ชนกลุ่มนี้ด้วย
ที่สะท้อนให้เห็นถึงความคับแค้นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของชาวนาไว้อย่างชัดเจนว่า
ชาวนาในยุคปัจจุบันนี้ยังไม่มีสภาพชีวิตที่ดีไปกว่าเดิมเท่าใดนัก
เพราะชาวนายังต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติและระบบดอกเบี้ยทบต้นของนายทุนอยู่เหมือนเดิม๑๐
ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์
ปราโมช
ได้วิพากษ์ลัทธิคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมนี้ผ่านตัวละครหลักสองตัวโดยการประคารมกันระหว่างแกว่น
แกว่นกำจรและสมภารกร่าง ซึ่งมักจะลงเอยด้วยการที่แกว่นยอมจำนนต่อเหตุผลหรือตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมของสมภาร อย่างเช่น
ตอน สันติมาถึงไผ่แดง
เรื่องมีอยู่ว่าแกว่นได้ให้พรรคพวกออกล่ารายชื่อคนในหมู่บ้านเพื่อเรียกร้องสันติภาพ
เพราะแกว่น
แก่นกำจรได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพฯปรากฏว่าเขาก็ให้คนลงชื่อเพื่อเรียกร้องสันติ
แกว่นจึงอยากให้หมู่บ้านไผ่แดงได้รับสันติภาพเช่นกัน
จึงให้ลูกน้องออกล่ารายชื่อคนในหมู่บ้าน แต่ก็ยังขาดชื่อของคนในบางไผ่แดงอีก๓คนคือ
สมภารกร่าง กำนันเจิม และตาเทิ้ม
และสุดท้ายแกว่นก็ต้องลงเอยต่อความฉลาดของสมภารกร่าง ดังเช่นว่า
______________________________________________________________________________
๘ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๔๒. คอมมิวนิสต์. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั้นส์,
๒๕๔๖.
หน้า ๒๓๗
๙ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๔๒. สังคมนิยม. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั้นส์,
๒๕๔๖.
หน้า ๑๑๕๙
๑๐
สายทิพย์ นุกูลกิจ. วรรณกรรมไทยปัจจุบัน.
กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน, ๒๕๓๔. หน้า๘๔
************************************************************************************
สมภารกร่างเปิดตู้เล็กๆข้างๆตัว
แล้วหยิบกระดาษอีกแผ่นจากตู้ส่งให้แกว่นดูในกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือชื่อคนทั้งบางรวมทั้งตาเทิ้ม
และเหนือลายมือชื่อนั้นมีข้อความว่า
“ข้าพเจ้าผู้มีรายชื่อข้างท้ายนี้
ขอให้คำรับรองต่อกำนันเจิมไว้ว่าข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้พากันลงชื่อในคำเรียกร้องสันติภาพจริง
โดยมิได้รู้ความหมายของคำเรียกร้องนั้น บัดนี้
กำนันเจิมได้ชี้แจงให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าใจแล้ว
จึงลงลายมือชื่อไว้พร้อมกันเพื่อเป็นหลักฐานพยานว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลายยินดีสนับสนุนรัฐบาลเสรีประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยินดีร่วมมือกับรัฐบาลต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์”
ในรายชื่อข้างท้ายหนังสือนั้น
ปรากฏพวกพ้องของแกว่นลงชื่อไว้ทุกคน
“ทรยศ....หักหลังกันชัดๆ”
แกว่นร้องทั้งที่หัวหมุนและนัยน์ตาลาย “ฉันไม่เข้าใจเลยสมภาร...ใครเป็นคนต้นคิดให้ชาวไผ่แดงลงชื่อหนังสือบ้าๆอย่างนี้”
“กำนันเจิมกระมัง”
สมภารตอบ “เมื่อตอนแกว่นออกไปเที่ยวให้คนลงชื่อในเวลากลางคืน
ฉันเห็นกำนันแกวิ่งวุ่นอยู่ตอนกลางวันไล่หลังแกว่นไปนั่นแหละ
เห็นแกบ่นว่าแกเป็นห่วงลูกบ้าน ไม่รู้เรื่องรู้ราว กลัวจะเดือดร้อนในภายหลัง”
สมภารหยิบกระดาษคืนเอาเข้าตู้แล้วพูดต่อไปว่า “แกได้รายชื่อครบแล้ว
แกก็เอามาให้ดู....” ฯลฯ
“แล้วสมภารรู้ไหมว่า
กำนันจะทำยังกับไอ้กระดาษคำรับรองบ้าๆนี้?” แกว่นถาม
“แกว่นจะทำอะไรกับไอ้คำร้องเรียกบ้าๆ
อะไรของแกว่นนั้นเล่า” สมภารถามกลับ
“ฉันก็ยังไม่ได้นึก....อ่านหนังสือพิมพ์
เห็นที่กรุงเทพฯ เขาลงชื่อเรียกร้องกัน ฉันก็เอากับเขาบ้าง
เสร็จแล้วก็ยังไม่รู้จะส่งไปให้ใครที่ไหน”
สมภารกร่างยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วตอบว่า
“แกว่น
ถ้าแกว่นเก็บกระดาษของแกว่นไว้นิ่งๆ ฉันว่ากำนันแกคงฝากกระดาษของแกไว้นิ่งๆ
แต่ถ้าแกว่นไปเผากระดาษของแกว่นเสีย ฉันก็ว่ากำนันคงทำอย่างเดียวกับกระดาษของแก”
อันที่จริงแล้ว
แม้ว่าแกว่นจะเป็นนักเลงเกเรของหมู่บ้าน แต่เขาก็เป็นสายเลือดของท้องถิ่นชนบทไทยอย่างแท้จริง แกว่นจึงมิใช่คอมมิวนิสต์ด้วยจิตวิญญาณ
เขาเป็นคอมมิวนิสต์เพียงเปลือกนอก ดังนั้น
เมื่อลูกน้องของแกว่นไปได้ข่าวว่ากองทัพแดงกำลังจะบุกเข้ามาปลดแอกให้ประชาชนชาวไทย
แกว่นตกลงกับพรรคพวกว่าจะบุกจับตัวกำนันเจิม และสมภารกร่าง
ตัวแทนนายทุนขุนศึกศักดินาและสาสนจักรไว้ให้กองทัพแดง
แต่แล้วแกว่นกับพรรคพวกกลับแอบรีบไปเตือนสมภารให้หนีไปก่อนภัยจะมาถึง จึงได้รู้ว่าแท้จริงเป็นข่าวที่ได้ยินมาผิดๆ
ดังตัวอย่าง
ตอน เรื่องสัญญาณประลัย๑๑
“แกว่นนะสมภาร
ขอพูดด้วยประเดี๋ยวเดียว” แล้วแก่นก็ก้าวเท้าเข้าไปในกุฏิ
สมภารกร่างห่มดองครองผ้าอยู่เรียบร้อย
ราวกับว่าจะมีแขกมาหาในยามวิกาล พอสมควรรู้ว่าเป็นแกว่นเกลอเก่ามาหาในยามนั้นสมภารก็เบิกตาโต
ทำท่าเหมือนกับว่าจะแปลกประหลาดใจ
“มีเรื่องอะไรหรือแกว่น?” สมภารถามขึ้นก่อนตานั้นเหลียวไปดูที่ประตูห้องเล็กๆในกุฏิซึ่งสมภารกั้นไว้เป็นที่นอน
ประตูห้องนั้นปิดสนิทอยู่
“สมภารเอาผ้าเหลืองออกจากตัวเดี๋ยวนี้
แล้วรีบลงเรือออกจากวัดไปเสียให้พ้น เอ้า!”
เขาพูดพูดพลางยื่นกางเกงสีครามที่ถือติดมือมาจากบ้านให้เก่สมภาร
“นุ่งกางเกงนี้แล้วอาผ้าขาวม้าโพกหัวอย่าให้ใครเห็น”
เขาปลดผ้าขาวม้าออกจากเอวยื่นให้สมภารอีกอย่างหนึ่งปากก็พูดอย่างเร่งรีบ
“เร็วๆเข้า อย่ามัวซักถามอยู่เลย รีบๆไปเสียให้พ้น”
“ช้าก่อน แกว่น!” สมภารร้อง “แกว่นเป็นอะไรไป?
อยู่ๆก็จะมาสึกฉันกลางดึกแล้วไล่ออกจากวัดเสียอีก
เรื่องมันยังไงกันฉันยังไม่รู้เลย”
“อื้อ! สมภารนี่” แกว่นร้องอย่างรำคาญ “รีบๆเร็วเข้าเถอะน่า ถ้าหนีไปเสียตอนนี้
กว่าจะถึงเวลาก่อนรุ่งสาง สมภารก็คงไปได้ไกลแล้วไม่มีใครตามหรอก
และพอถึงบางอื่นก็คงไม่มีใครรู้ว่าสมภารเป็นพระ”...
เรื่อง สิทธิแห่งชนกรรมาชีพ๑๒
แกว่นชักชวนให้ลูกบ้านไผ่แดงขึ้นค่าแรงเกี่ยวข้าว
ทำให้กำนันเจิมต้องเดือดร้อน สมภารกร่างต้องช่วยเหลือด้วยการออกปาก “ขอแรง” ชาวบ้านมาลงแขกตามแบบที่ทำกันมาแต่โบราณ
แกว่นพาลูกน้องมาร่วมลงแขกเกี่ยวข้าวด้วย
โดยอ้างว่าการทำงานให้เปล่าแก่สังคมไม่ขัดต่ออุดมการณ์
แต่จะไม่ยอมรับจ้างในลักษณะถูกขูดรีด ดังเนื้อหาในเรื่องที่ว่า
รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่
สมภารกร่างก็ไปยืนอยู่ที่นากับกำนันเจิมจริงตามนัด
ชาวบ้านต่างก็ทยอยกันมาจนพร้อมเพรียงกัน มีทั้งหนุ่มสาวคนเฒ่าคนแก่
ใครที่มาไม่ได้ก็ส่งญาติมาแทน ไม่มีบ้านไหนขาด
สมภารกร่างนั่งขัดสมาธิคุมเชิงอยู่ใต้ต้นตะโกใหญ่ชายท้องทุ่งริมคลองเพราะถ้าใครจะบุกรุกเข้ามาต้องผ่านสมภารก่อน
ข้างตัวสมภารมีกาน้ำวางอยู่กาหนึ่งสำหรับดับกระหายหรือดับพิโรธก็สุดจะเดา และมีไม้ไผ่ขนาดลำพอเหมาะสำหรับเป็นพลองวางอยู่อีกอันหนึ่ง
สมภารจะเอามาจากไหนก็สุดแท้จะเดาเช่นเดียวกัน
______________________________________________________________________________
๑๑ ศึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. ไผ่แดง.
กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์,
๒๕๔๘. หน้า๖๙
๑๒ ______________. ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๒๑๑-๒๑๒
**********************************************************************************
อีกครู่หนึ่งชาวบ้านก็กระจายออกเป็นแถวหน้ากระดานตลอดท้องนา แล้วก็เริ่มลงมือเกี่ยวข้าวอย่างทะมัดทะแมง
เสียงเพลงเกี่ยวข้าวจากปากหนุ่มสาวกลางทุ่งก็ดังเจื้อยแจ้ว สมภารกร่างนั่งนิ่งๆอยู่พักใหญ่ๆ
พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินอยู่เบื้องหลังก็เหลียวไปดู ทันใดนั้น สมภารกร่างก็คว้าไม้พลองลุกขึ้นยืนจังก้า
เพราะคนที่เดินมานั้นหาใช่ใครไม่ แต่เป็นแกว่น
แก่นกำจรกับพรรคพวกชายฉกรรจ์อีกหลายคน สมภารเอามือชี้หน้าแล้วร้องว่า
“กลับไปเดี๋ยวนี้ไอ้แกว่น
มึงอย่ามายุ่ง คนพวกนี้เขาทำงานเพราะเขาใจบุญ ข้าขอแรงเขามา มึงจะเกะกะระรานก็ต้องข้ามศพกูไปก่อน”
“สมภารก็บ้าไปได้”
แกว่นหัวเราะ “ทั้งทุ่งนี้เห็นมีคนเกะกะก็แต่ตัวสมภารคนเดียว”
“แล้วมึงมาทำไม?” สมภารถามพลางขยับไม้พลองในมือ
“สิทธิที่จะทำงานและหยุดงาน
เป็นทั้งสิทธิและอำนาจของชนชั้นกรรมาชีพ” แกว่นตอบ
“แล้วยังไง?”
“สิทธินั้น
หมายถึงการทำงานให้เปล่าโดยสมัครใจและไม่มีค่าจ้างด้วย” แกว่นตอบ
“แกว่นหมายความว่า....”
สมภารพูดแล้วก็โยนพลองทิ้ง
“หมายความว่าการทำงานให้แก่สังคมเปล่าโดยไม่มีอะไรตอบแทนไม่ขัดต่ออุดมการณ์ของเรา แต่ถ้าจ้างให้ทำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เราไม่ยอมรับค่าจ้างในลักษณะที่ถูกขูดรีด” แกว่นตอบยิ้มๆ
“นี่พวกเรามาช่วยลงแขกจริงๆหรือ?” สมภารถามไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังแกว่น
“จริงซีท่านสมภาร”
เจ้าเทียมตอบแทน “ทีแรกฉันก็เฉยๆ แต่พอได้ยินเสียงเพลงเกี่ยวข้าวก็อดใจไว้ไม่ได้ใจมันเต้นชอบกล เหมือนมีใครเรียกร้อง ฉันจึงชวนพี่แกว่นเขา แล้วก็เลยมากันหมด”
“อือ! ไอ้เรื่องเพลงเกี่ยวข้าวนี่มันปลุกใจเหมือกันหรือ?”
สมภารถามอย่างอัศจรรย์ใจ
“ปลุกใจซีสมภาร
บางทีมันก็ปลุกใจดีเสียกว่าต้นตระกูลไทยที่ฉันร้องให้สมภารฟังเมื่อวานนี้อีก”
สมภารก้มลงคว้าพลองมาถือไว้
แล้วก็คำรามว่า
“ไอ้เทียม
มึงอย่ามาวอนเจ็บตัว เอ้า!
ไหนว่าจะมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวก็รีบๆกระจายกันออกไป อย่ามามัวชักช้า
เที่ยงตรงตะวันตรงหัวมาพร้อมกันที่นี่ กำนันแกจะเอาขนมจีนมาเลี้ยง”
จะเห็นได้ว่าใจจิตใจของแกว่น
แก่นกำจรและพรรคพวกนั้นมีจิตใจที่สำนึกผิดรู้บาปบุญคุณโทษจึงได้เข้ากับทฤษฎีการวิจารณ์ตามแนวศีลธรรมและคติธรรมคำสอน
(Moral Criticism)
ทฤษฎีการวิจารณ์ตามแนวศีลธรรมและคติธรรมคำสอน
(Moral Criticism)
การศึกษาวิจารณ์วรรณคดีตามแนวศีลธรรมและคติคำสอนเป็นวิธีการที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและเป็นการวิจารณ์ที่เก่าแก่แนวหนึ่ง
นักวิจารณ์กลุ่มนี้เชื่อว่า วรรณคดีคือการวิจารณ์ชีวิตหน้าที่หลักของวรรณคดี คือ
การสอนคติธรรม (Morality) ทั้งในเชิงศาสนาและเชิงปรัชญา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
วรรณคดีมีหน้าที่มุ่งสอนและให้ข้อคิดในการประพฤติตนในการดำรงชีวิต
สอนให้คนทำความดี และเสนอเรื่องความจริงในชีวิต
วรรณคดีคือผลผลิตทางด้านความคิดและทัศนะคติของตัวมนุษย์เอง
นักวิจารณ์กลุ่มนี้จึงให้ความสำคัญอย่างมากต่อเนื้อหา และถือว่าเนื้อหาสาระในวรรณคดีควรเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์
กล่าวคือ
เห็นว่ามนุษย์มีความแตกต่างแตกต่างจากสัตว์ก็โดยความมีเหตุผลและมีมาตรฐานทางจริยธรรมประจำใจ
(Ethical Standards) และแม้ว่ามนุษย์จะเป็นผู้ที่มีเสรี
แต่ก็มีแนวโน้มที่จะประพฤติตามอารมณ์ฝ่ายต่ำเสมอ ความมีเหตุผลเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องยับยั้งมิให้ปฏิบัติตนตามอารมณ์ฝ่ายต่ำและทำให้มนุษย์เป็นผู้มีความเป็นระเบียบและมีวินัย๑๓ ในเรื่องไผ่แดงนี้
ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สอนเกี่ยวกับคติธรรม ความเชื่อและศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ซึ่งจะปรากฏจากเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ อาทิ
เรื่อง พระเบี้ยว
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งของวัดไผ่แดง
เพราะ พระพุทธรูปองค์นี้มีพระพักตร์ที่บูดเบี้ยวจนแลดูน่าเกลียดน่ากลัว
ช่างฝีมือหยาบในการทำ เนื้อพระพุทธรูปผสมอย่างหยาบๆเหมือนรีบทำ องค์พระ พระกร
พระหัตถ์ และพระบาทนั้นแลดูเหมือนคนพิการ
ปราศจากความงามแม้แต่น้อย
และเมื่อสมภารกร่างเห็นพระพุทธเบี้ยวก็เกิดเป็นปมที่ทำให้ไม่อยากให้พระพุทธรูปนี้อยู่คู่วัดต่อไป
เมื่อได้โอกาสสมภารก็ได้นำพระเบี้ยวไปแห่เพราะเป็นงานประจำปีของวัดไผ่แดง
แต่ปีนี้สมภารจะจัดพิเศษเพราะตอนแห่ไปจะแห่ทางเรือเหมือนเดิม แต่ตอนกลับจะแห่ทางบกคือ
แห่บนเกวียนของลูกชายกำนันเจิด
และเมื่อสบโอกาสสมภารก็ให้เจ้าจิบลูกชายกำนันขับเกวียนให้เร็วขึ้น ขณะนั้นเกวียนก็กระทบกระเมือนอย่างแรง
เมื่อเกวียนข้ามคันนาอีกคันเดียว พระเบี้ยวก็ แตกกระจายเหมือนถูกคนทุบ
เป็นฝุ่นฟุ้งไปหมด เมื่อพระเบี้ยวแตกสลายไปหมดแล้ว
แต่บนแผ่นกระดานที่มัดไว้บนเกวียนนั้นมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งตั้งอยู่
พระพุทธรูปนั้นเป็นสมาธิ หล่อด้วยนาก เปล่งปลั่งงามบริสุทธิ์
สมภารมองดูปราดเดียวก็รู้ว่า
พระพุทธรูปที่ซ่อนอยู่ข้างในพระปูนมานานเป็นสามร้อยปีนั้นหาค่ามิได้ เสียงคนมุงดูอยู่นั้นร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น
บ้างก็ร้องตะโกนบอกกันมาดู และสมภารก็พูดว่า
______________________________________________________________________________
๑๓
พัฒจิรา จันทร์ดำ. การอ่านและวิจารณ์เรื่องสั้น.
กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์, ๒๕๔๗. หน้า๗๘
********************************************************************************
“ผมจะปั้นหลวงพ่อขึ้นใหม่ด้วยมือของผมเอง
ผมจะเอาเศษปูนนี้ปะติดปะต่อกลับให้บริบูรณ์จงได้ ถึงแม้จะให้เวลากี่สิบปีก็ตาม
หลวงพ่อได้ช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธรูปสมาธิที่งดงามนี้ไว้ถึงสามร้อยปี
มิให้ข้าศึกศัตรูมาปล้นทำลาย คนที่ปั้นหลวงพ่อ เขาเจตนาปั้นเสียให้น่าเกลียด
เพื่อมิให้ข้าศึกศัตรูเฉลียวใจ ถึงแม้ว่าบ้านเมืองจะแตกไปแล้วในสมัยนั้น
พระศาสนาจะทรุดโทรมเศร้าหมอง แต่หลวงพ่อก็กำบังพระพุทธที่บริสุทธิ์ให้พ้นมือศัตรู
พ้นมือโจรคนอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อเบี้ยวครับ
ผมจะต้องสร้างหลวงพ่อขึ้นใหม่ให้จงได้! เพราะหลวงพ่อได้ป้องกันของมีค่าในพระพุทธสาสนาไว้ให้พ้นมือข้าศึกที่รุกรานบ้านเมืองไทย และซุกซ่อนมาไว้ตั้งสามร้อยปี แต่ต่อไปนี้
ใครเล่าจะคุ้มกันพระพุทธรูปนากอันมีค่านี้ให้พ้นมือศัตรูฝูงใหม่ที่กำลังบุกรุกเข้ามา?
ใครเล่าจะป้องกันศาสนาให้พ้นจากการถูกเหยียบย่ำทำลาย? ใครเล่าจะคุ้มกันคนในพระพุทธศาสนาให้พ้นเงื้อมมือโจรที่จะมาปล้นศาสนา
ปล้นธรรม ปล้นจิตใจมนุษย์? หรือว่าวันนี้หลวงพ่อจะแสดงนิมิตให้ปรากฏแก่ตา
ให้คนทั้งปวงแลเห็นว่าพระศาสนานั้นยังคงประดิษฐานอยู่ ไม่มีใครรุกล้ำมาถึงไผ่แดง
หรือถ้าหากมีศัตรูรุกรานเข้ามาจริง ชาวบ้านไผ่แดงนี้จะช่วยกันต่อสู้ป้องกันพระพุทธรูปองค์นี้
และป้องกันพระพุทธศาสนาไว้ด้วยกำลังศรัทธา กำลังกาย... ด้วยเหตุนี้หรือ
หลวงพ่อจึงไม่คุ้มกันกำบังพระพุทธรูปอันงามบริสุทธิ์นี้ไว้อีกกต่อไป!...”๑๔
เรื่อง ความรักแห่งเสรีชนไม่มีพรมแดน
นางทิพย์ลูกสาวคนเดียวของตาเทิ้มเมื่องานบวชที่วัดไผ่แดงขณะที่พระท่านกำลังสวดญัตติอยู่นั้นได้ออกมาข้างนอกโบสถ์
เพราะเมืองไทยมีความเชื่อว่า ถ้าหากหญิงที่มีครรภ์นั่งอยู่ในขณะพระสวดญัตติ
ลูกในครรภ์นั้นจะไหลหรือทะลักออกมาในขณะนั้น
หรือไม่ยอมคลอดเมื่อถึงคราวที่ควรจะคลอดเมื่อถึงคราวที่ควรจะคลอด
อย่างไรอย่างหนึ่ง เป็นเหตุให้หญิงมีครรภ์ต้องรีบออกไปเสียให้พ้นบริเวณทันที
ซึ่งนางทิพย์เป็นสาวเป็นนางแท้ๆแต่ทำไมถึงได้ออกมาทำให้เป็นที่สงสัยของชาวบ้านและอับอายของตาเทิ้ม
ซึ่งนางทิพย์นั้นก็รักกันกับเทิ้มลูกน้องคนสนิทของแกว่น
ซึ่งกลัวพ่อจะไม่ยอมรับเทิ้มจึงทำอุบายเพื่อหลอกพ่อและให้สมภารกร่างนั้นเป็นพยาน
เรื่อง ฉีกหน้ากากชนชั้นขูดรีด
ถมสหายคนสนิทของแกว่น
แก่นกำจร ได้ถูกแม่ขอร้องให้บวชเพราะแม่ได้ไปบนไว้ตอนที่ถมป่วยหนัก
ว่าถ้าหายแล้วจะบวชแก้บน
ตอนแรกก็ว่าจะบวชเพียงแค่ตัดรำคาญแต่พอนานๆเข้าก็ไม่อยากจะสึก และระหว่างที่กำลังจะบวชนั้น
ยายกลอยก็มาทวงเงินค่าเหล้าที่นาคถมได้ไปติดไว้เป็นเงินจำนวน
ร้อยสิบเจ็ดบาทห้าสิบสตางค์
แต่ตอนนั้นนาคถมและแม่ไม่มีเงินเพราะต้องเอาไปซื้อเครื่องอัฐบริขาร และคงไม่มีเงินจ่ายยายกลอยเป็นแน่
เมื่อสมภารกร่างเห็นจึงพูดขึ้นว่า
______________________________________________________________________________
๑๔ ศึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. ไผ่แดง.
กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์,
๒๕๔๘. หน้า๘๓-๘๔
************************************************************************************
“เรื่องนี้ก็แล้วแต่โยมทั้งหลายจะพิจารณา
เงินจำนวนนี้ก็ไม่มาก อาตมาอยากจะขอบิณฑบาตจากประสกสีกาที่มานั่งอยู่ที่นี่หลายสิบคนถ้าช่วยกันคนละบาทสองบาทตามศรัทธาก็เห็นพอจะเปลื้องหนี้นาคถมได้เดี๋ยวนี้
จะได้บวชเรียนต่อไป อย่าให้เสียศรัทธาเลย”
เพียงเท่านี้คนในหมู่บ้านก็ได้นำเงินมาร่วมกันจนครบที่ยายกลอยต้องการ
เมื่อพระถมบวชแล้วก็มานั่งรับของถวายอยู่ริมอาสนสงฆ์ เมื่อทุกคนถวายกันหมดแล้ว
ยายกลอยก็ปรากฏตัวขึ้นในโบสถ์พร้อมด้วยถาดใบใหญ่ของถวายพระเต็ม
ยายกลอยคลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าพระถม แล้วก้มลงกราบอย่างนอบน้อม
แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า
“พ่อคู้ณ! พ่อทูนหัว!
พ่ออย่าถือสาคนมีเวรมีกรรมอย่างอีฉันเลย
พอรู้ว่าพ่อจะบวช อีฉันก็ซื้อของไว้ถวายตาราคาที่พ่อเป็นหนี้อยู่พอดี
ทั้งหมดนี้แหละค่ะ อีฉันซื้อมาด้วยเงินร้อยสิบเจ็ดบาทห้าสิบสตางค์ ไม่มีขาดมีเกิน
ส่วนเรื่องหนี้ที่พ่อเป็นอยู่เมื่อยังเป็นฆราวาสอีฉันก็ต้องมาทวง
ใครจะหาว่าอีฉันใจไม้ไส้ระกำก็ตามที แต่ถ้าอีฉันปล่อยพ่อบวชเข้าไปทั้งที่พ่อยังไม่ได้เปลื้องหนี้
พ่อก็จะเป็นพระไม่บริสุทธิ์ ได้เงินแล้วก็ไปซื้อของมาถวายพ่อนี้แหละ พ่อคุณ! พ่อจะได้บริสุทธิ์ผุดผ่องจำศีลภาวนาต่อไป”
ยายกลอยพูดแล้วก็เอาชายผ้าห่มเช็ดน้ำตา.๑๕
ซึ่งที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของคุณธรรม
คติธรรมที่แฝงในเรื่อง ไผ่แดง
สิ่งที่สำคัญที่เป็นตัวเด่นชัดที่ให้เกิดคุณธรรม
คติธรรมและนำมาสอนในเรื่องมากที่สุดคือ หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์
เพราะเป็นเสียงที่ค่อยบอกค่อยสอนสมภารในเรื่องที่สมควรและไม่สมควร ธรรมดาคนเราบวชเรียนอยู่ในสมณเพศนั้น
มักจะปรากฏว่ามีตนเกิดขึ้นสองตน คือตนหนึ่งเป็นตนในโลก
ที่สมภารกร่างมักจะแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั้งหลาย อีกคนหนึ่งนั้น
คือตัวเองในฐานะที่เป็นสมณะอยู่ห่างจากโลก
ตนทั้งสองนี้ย่อมจะมีเสียงเหนือกว่าตนที่ยังหมกมุ่นอยู่ในโลกเสมอไป ถ้าหากว่าคนผู้เป็นเจ้าของตนทั้งสองนั้นยังมีเจตนาแน่วแน่ที่จะอยู่ในสมณเพศ
ถ้าแยกตนออกเป็นสองนี้บางคนอาจไม่รู้
แต่ถ้าอยู่ในสังคมที่สงัดก็อาจได้ยินข้อถกเถียงหรือพูดจาระหว่างความรู้สึกผิดชอบฝ่ายหนึ่งและความหมกมุ่นในโลกอันเต็มไปด้วยกิเลสอีกฝ่ายหนึ่งได้
สมภารกร่างก็ได้ยินเสียงของตนเองที่เป็นพระแท้ดังมาจากพระประธาน
ส่วนเสียงของตนที่อยู่โลกก็ดังออกจากปากตัวเอง
และด้วยเหตุนี้การเจรจาระหว่างพระประธานกับสมภารกร่างจึงมิได้มีคนอื่นล่วงรู้หรือได้ยินเลย
______________________________________________________________________________๑๕
ศึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. ไผ่แดง. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๘. หน้า๑๑๖-๑๑๗
***********************************************************************************
จุดเด่นของเรื่อง
ไผ่แดง คือเป็นนวนิยายการเมืองอารมณ์ขันคือตัวละครแกว่นมีชีวิตชีวา
ซึ่งไม่แพ้กับสมภารกร่าง
เพราะแม้ว่าสมภารกร่างจะหักล้างความเชื่อของแกว่นได้ทุกครั้ง
แกว่นก็ไม่ยอมเสียหน้า
แต่จะยอมแพ้อย่างมีชั้นเชิงเสมอ
จึงทำให้แกว่นมีบุคลิกน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่าน่าชัง อันเป็นเสน่ห์ทำให้ “ไผ่แดง”
เป็นหนังสือชวนอ่าน
และลดดีกรีความร้อนแรงของความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองลงไปได้
อุดมการณ์ความเชื่อที่
ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช
นำมาสู้ลัทธิคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมซึ่งแพร่หลายอยู่ในช่วงเวลานั้น คือ
ความอุดมของวัฒนธรรมไทยและความเข้มแข็งของพุทธศาสนา ไผ่แดง
เมื่ออ่านแล้วสามารถมองเห็นวิถีชีวิตชาวชนบทที่พึ่งพาอาศัยกัน
เกื้อกูลกันด้วยน้ำใจ นับถือผู้หลักผู้ใหญ่
เคารพพระสงฆ์และจารีตประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
และที่สำคัญยึดถือในพุทธศาสนา สมภารกร่างเป็นตัวแทนพระสงฆ์ในชุมชน
ที่ต้องทำหน้าที่พร้อมกันไปทั้งสองอย่างคือยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนและในขณะเดียวกันต้องหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของชาวบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นวัวควายเกิดโรคระบาด นาข้าวไม่มีคนเกี่ยว
คู่รักจะต้องแต่งงาน ฝนแล้ง
น้ำท่วม ฯลฯ
ผู้แต่งใช้กลวิธีการประพันธ์ให้สมภารกร่างสนทนากับพระประธานในโบสถ์ในยามที่เกิดความคับข้องใจในการแก้ไขปัญหาให้แก่ชาวบ้านในชุมชนเล็กๆของตน
การแบ่งตัวละครเช่นนี้เป็นการสร้าง “ข้อถกเถียงระหว่างความรู้สึกผิดชอบฝ่ายหนึ่ง
และความหมกมุ่นในโลกที่เต็มไปด้วยโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสอีกฝ่ายหนึ่ง”
กลการประพันธ์เช่นนี้เหมาะสมกับการแสดงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร และสามารถนำลักษณะของวิภาษวิธีคือการแสดงความคิดขัดแย้งเพื่อทบทวนความคิดให้แจ่มชัดจนสามารถหาข้อสรุปได้อย่างงดงามอีกด้วย