วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียงความ : เรื่องมหาสารคามถิ่นรักราชภัฏฯของเรา


เรียงความ : เรื่องมหาสารคามถิ่นรักราชภัฏฯของเรา

พุทธมณฑลอีสาน   ถิ่นฐานอารยธรรม   ผ้าไหมล้ำเลิศค้า   ตักศิลานคร
เมื่อกล่าวถึงคำว่าพุทธมณฑลอีสานหรือที่เรียกว่าสะดืออีสาน  สะดือเปรียบเสมือนศูนย์กลางของร่างกายทั้งนี้สะดืออีสานจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางของภาคอีสาน   จังหวัดมหาสารคามเป็นจังหวัดที่ ๔๔ ของราชอาณาจักรไทย   เป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางของภูมิภาคอีสาน จังหวัดมหาสารคามได้ชื่อว่าเป็นเมือง “ตักศิลานคร”   คำว่า ตักสิลานคร หมายถึงเมืองที่มีการศึกษาที่ดี  คำว่าตักศิลานครนี้ในอดีตเป็นชื่อเมืองตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐปัญจาบ เป็นมหาวิทยาลัยและเป็นศูนย์กลางของศิลปวิชาการในอดีตของอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมีสำนักอาจารย์ทิศาปาติโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษย์ที่มาเล่าเรียนในแถบดินแดนชมพูทวีปบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงหลายท่านที่สำเร็จการศึกษาจากที่แห่งนี้   เช่น

 พระเจ้าปเสนทิโกศล  หมอชีวกโกมารภัจจ์  และองคุลีมาล  ปัจจุบันนี้ตักศิลาอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงอิสลามาบัด  ซึ่งเมืองมหาสารคามนั้นมีความหมายว่าเมืองที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษามีสถานศึกษาหลายแห่งเช่น  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ฯลฯ

ซึ่งมหาลัยที่มีความโดดเด่นในเรื่องการศึกษาในความเป็นครูในอดีตจนถึงปัจจุบันมากที่สุด คือ

 มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๔๖๘ ตั้งเป็น  โรงเรียนประถมกสิกรรม                          ที่บริเวณวิทยาลัยเทคนิคมหาสารคามในปัจจุบันและเมื่อพ.ศ.๒๔๗๐ได้ย้ายไปตั้งที่โคกอีด่อย   ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมหาสารคามไปทางทิศตะวันตกประมาณ  ๔ กิโลเมตรซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ-มหาสารคามในปัจจุบัน  พ.ศ.๒๔๗๓ เปลี่ยนฐานะเป็นโรงเรียนประถมวิสามัญและฝึกหัดครูกสิกรรมชั้นต่ำและปีต่อมาได้ยุบเลิกแผนแผนกฝึกหัดครูกสิกรรมชั้นต่ำเหลืออยู่เฉพาะโรงเรียนประถมวิสามัญเมื่อ

พ.ศ. ๒๔๘๑ ยกฐานะเป็นโรงเรียนประกาศนียบัตรจังหวัด   เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๘ เปลี่ยนฐานะเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู  
พ.ศ.๒๕๐๕ ( พฤษภาคม ) ได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยครูมหาสารคาม และในปีพ.ศ.๒๕๓๕(๑๔ กุมภาพันธ์)
วิทยาลัยครูทุกแห่งได้รับพระราชทานนามว่า สถาบันราชภัฏและวันที่ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ให้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ พ.ศ.๒๕๔๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.๒๕๔๗   ซึ่งส่งผลให้สถาบันราชภัฏมหาสารคามเปลี่ยน สถานะเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน    

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ความรู้กลางภูมิภาคอีสาน  มีหลากหลายคณะให้เลือกในการศึกษา อาทิ  คณะครุศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง   

ที่เปิดให้ผู้ที่สนใจที่จะศึกษาได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งเปิดสอนในภาคปกติและภาคกศบป. 

๘๐กว่าปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามได้สร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพสำเร็จการศึกษาไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น  เป็นคนที่มาพัฒนาในสิ่งที่ดีในสังคม นี้คงเป็นเครื่องการันตีว่า    มหาวิทยาลัยราชภัฏ-มหาสารคามเป็นสถานศึกษาที่ดี  มีคุณภาพอีกแห่ง  จากประสบการณ์ที่ดิฉันได้เข้ามาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นระยะเวลา ๓ ปีมาแล้ว  ดิฉันสัมผัสได้ว่าดิฉันเลือกไม่ผิดที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพราะเป็นทั้งแหล่งสถานศึกษา  เป็นทั้งที่พักพิงในยามที่ขาดเขลา  เป็นเสมือนบ้านอีกหลังที่คอยให้ความอบอุ่นเมื่อยามเหนื่อยล่าจากการทำงาน  มีครูบา อาจารย์ให้คำปรึกษาเสมอมา  นักศึกษาเปรียบเสมือนญาติพี่น้องกัน  มีความถ้อยทีถ้อยอาศัย  มีน้ำใจซึ่งกันและกัน                เมื่อเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งดิฉันมั่นใจในศักยภาพของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามว่าเป็นมหาลัยที่มีความสุขที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดมหาสารคาม หรือเป็นมหาลัยที่มีความสุขอีกมหาลัยหนึ่งของประเทศ  และสมกับคำนี้ที่ว่า  “ตักศิลานคร” ซึ่งเป็นบ้านเกิดอันเป็นที่รักของดิฉัน  ซึ่งเปรียบได้กับคำประพันธ์ที่ว่า


เมืองมหาสารคามนี้งามนัก               งามด้วยรักงามด้วยรู้คู่ถิ่นสยาม

สืบสมบัติวัฒนธรรมที่ดีงาม              สารคามคุณค่าสาระคน

                                                                                                                                 นางสาวดวงเดือน คำบุญเกิด


รหัสนักศึกษา ๕๔๓๔๑๐๐๑๐๑๑๕
สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
                                                                                                                                                ชั้นปีมี่ ๓ หมู่รียนที่ ๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น