วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความ : เรื่องก่อนจะไปเป็นครูที่ดีต้องรู้วิธีก่อนใคร


บทความ :  เรื่องก่อนจะไปเป็นครูที่ดีต้องรู้วิธีก่อนใคร

ครูในอนาคตจะต้องเป็นครูที่มีความสามารถตามตามเกณฑ์ของระดับคุณภาพครูที่เป็นสากล แต่ก็มีความขัดแย้งกันกับนักวิชาการบางฝ่ายที่เห็นว่าการมองระดับคุณภาพครูโดยพิจารณาเฉพาะความรู้ความสามารถนั้น
อาจจะขาดคุณลักษณะอันสำคัญของความเป็นครูดีที่แท้จริงได้  ในความคิดตามคติแนวคิดของคนไทยเกี่ยวกับลักษณะของครูที่ดีนั้นต้องมีคุณธรรมดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทาน    ปริญญาบัตรแก่นักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ที่ว่า

                “......ข้าพเจ้าเชื่อว่า  นิสิตนักศึกษา  ซึ่งสำเร็จการศึกษาไปในคราวนี้ควรจะได้มีคุณธรรม  ศีลธรรม
 และวัฒนธรรมเป็นทุนอยู่บ้างแล้ว   แต่ในฐานะที่ต้องออกไปทำหน้าที่ครูของผู้อื่น  ท่านจำเป็นจะต้องสร้างสมธรรมะต่างๆให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น  และรู้จักวางตัวให้สมกับเป็นผู้มีหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ  และช่วยกันขจัดปัญหาเยาวชนให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว  และส่งเสริมให้เยาวชนได้เป็นคนที่มีสัมมาอาชีพและความประพฤติดี 
เพื่อเป็นกำลังใจในการที่จะสร้างประเทศ ” 

การเป็นครูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังที่รองศาสตราจารย์ยนต์  ชุ่มจิต ( ๒๕๔๔ : ๒๐๘ ) ให้ความหมายว่า “ครู” 
ที่แปลว่าหนัก  นั้น  เมื่อต้องสอนนักเรียนก็ต้องรับภาระอันหนัก  กล่าวคือ  ต้องหนักทั้งกายและหนักทั้งจิตใจ  หนักทางกาย  หมายความว่า  ต้องศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ  มาสอนศิษย์ให้มีความรู้ทันโลกทันเหตุการณ์  ในขณะที่สอนก็ต้องคอยตรวจสอบประเมินผลการเรียนการสอนเพื่อให้ศิษย์เกอดความเจริญงอกงามอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่กล่าวว่าหนักทั้งจิตใจด้วยนั้น  หมายความว่า  ผู้ที่มีวิญญาณความเป็นครูจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ในความทุกข์สุขของศิษย์อยู่ตลอดเวลา  ยามใดที่ศิษย์ของตนต้องเจ็บป่วยหรือได้รับความเดือดร้อนใดๆ  ผู้เป็นครูก็พลอยทุกข์ใจหนักใจด้วยอย่างนี้ เป็นต้น  การเป็นครูนั้นเมื่อเรามองย้อนกลับกันแล้วเป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเด็กเพราะครูคนเดียวนั้นสอนเด็กได้หลายๆคนครูนั้นจะเป็นทั้งแบบอย่าง  ทั้งสิ่งต่างๆของเด็กดังที่ ดร.รัตนา  ศรีเหรัญ (๒๕๔๔: ๒๒)ได้กล่าวในบทความหนังสือสู่เส้นทางวิชาชีพครูที่ว่า  “ การเป็นแบบอย่างที่ดี  บทบาทของครูในสองอย่างแรกจัดเป็นครูที่พูดได้  แต่ในบทบาทสุดท้ายนี้เป็นลักษณะของครูที่ไม่ต้องพูดซึ่งผู้เรียนสามารถมองเห็นได้เลย   ผู้เรียนมักมีการเลียนแบบพฤติกรรมของบุคคลที่นักเรียนมีความใกล้ชิดและให้ความเคารพนับถือ  จัดเป็นการเรียนรู้ที่เกิดกับผู้เรียนโดยไม่ต้องมีการสอนด้วยวาจา  ถ้าผู้เรียนเกิดความประทับใจในพฤติกรรมของครูคนใด 
ก็มักจะยึดถือครูผู้นั้นเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต ”   จะเห็นได้ว่าบทบาทของครูนั้นมีส่วนสำคัญต่อการออกแบบ  การสร้างการพัฒนาบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมให้เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการดำรงสภาพความเป็นสังคมที่สมบรูณ์ต่อไป  สังคมที่ขาดครู (ครูที่ดี)  สังคมนั้นจะขาดการพัฒนาที่ดีและเป็นการยากที่จะเป็นการยากที่จะดำรงให้สังคมได้คงอยู่ต่อไป 

ดังนั้นผู้ที่จะไปประกอบวิชาชีพครูนี้ควรคำนึงในการจะไปปฏิบัติหน้าที่ของตนว่าจะไปเป็นครูประเภทไหนและจะเป็นครูที่ดีได้อย่างไร   บุคลิกภาพของครูก็เป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนและเป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น  ดังที่   ณัฐพรหม  อินทยุยศ   (๒๕๕๓ : ๒๙๓)  ได้กล่าวไว้ดังนี้

ครูประเภทที่ ๑

ถ้าครูแสดงความเป็นมิตร                                  นักเรียนจะอบอุ่นใจ

ถ้าครูยิ้มแย้ม                                                         นักเรียนจะแจ่มใส

ถ้าครูมีอารมณ์ขัน                                                นักเรียนจะเรียนสนุก

ถ้าครูกระตือรือร้น                                               นักเรียนจะกระปรี้กระเปร่า

ถ้าครูมีน้ำเสียงนุ่มนวล                                      นักเรียนจะสุภาพอ่อนน้อม

ถ้าครูแต่งตัวเรียบร้อย                                         นักเรียนจะเคารพ

ถ้าครูให้ความเมตตาปราณี                                นักเรียนจะมีจิตใจอ่อนโยน

ถ้าครูให้ความยุติธรรม                                        นักเรียนจะศรัทธา

                                                                ครูประเภทที่ ๒

ถ้าครูเข้มงวด                                                        นักเรียนจะหงุดหงิด

ถ้าครูหน้านิ่วคิ้วขมวด                                        นักเรียนจะรู้สึกเครียด

ถ้าครูฉุนเฉียว                                                       นักเรียนจะอึดอัด

ถ้าครูปั้นปึ้ง                                                           นักเรียนจะกลัว

ถ้าครูแต่งตัวไม่เรียบร้อย                                    นักเรียนจะขาดความเคารพ

ถ้าครูใช้น้ำเสียงดุดัน                                          นักเรียนจะหวาดกลัว

                                                                ครูประเภทที่ ๓

ถ้าครูท้อถอย                                                         นักเรียนจะท้อแท้

ถ้าครูเฉยเมย                                                         นักเรียนจะเชื่องชา

ถ้าครูเชื่องช้า                                                        นักเรียนจะหงอยเหงา

ถ้าครูใช้น้ำเสียงราบเรียบ                                   นักเรียนจะไม่ตั้งใจฟัง

ถ้าครูปล่อยปละละเลย                                        นักเรียนจะขาดระเบียบวินัย

ถ้าครูแต่งกายไม่เรียบร้อย                                  นักเรียนจะขาดความเคารพ

ครูทั้ง ๓ ประเภทนี้ทำให้เห็นข้อพกพร่องของครู  เรื่องบุคลิกท่าทางของครู  ดังนั้นผู้ที่จะไปประกอบวิชาชีพครูจึงจำเป็นต้องหมั่นสร้างแรงจูงใจในการเรียนการสอนของตนเองอย่างต่อเนื่องและต้องนำเอาสิ่งดีไปเป็นแบบอย่างในการกระตือรือร้นในการเรียนการสอนต่อไป   ซึ่งเราก็สามารถนำไปพัฒนาได้ตลอดอย่างที่ ดร.สุรศักดิ์  หลาบมาลา (๒๕๔๑ : ๘๗ )  ได้กล่าวไว้ว่า  “ การพัฒนาครูนั้นไม่ได้เริ่มต้นเมื่อเข้าเรียนในสถาบันฝึกหัดครูและจบลงเมื่อรับปริญญาบัตร  แต่ครูโดยวิชาชีพต้องเรียนรู้และเติบโตในวิชาชีพของตนตลอดชีวิตความเป็นครู ”
  
                                                                                                             นางสาวดวงเดือน  คำบุญเกิด
รหัสนัหศึกษา ๕๔๓๔๑๐๐๑๐๑๑๕
สาขาวิชาภาษาไทย   คณะครุศาสตร์
                                                                                                                        ชั้นปีมี่ ๓     หมู่รียนที่ ๑
 

 

 

เรียงความ : เรื่องมหาสารคามถิ่นรักราชภัฏฯของเรา


เรียงความ : เรื่องมหาสารคามถิ่นรักราชภัฏฯของเรา

พุทธมณฑลอีสาน   ถิ่นฐานอารยธรรม   ผ้าไหมล้ำเลิศค้า   ตักศิลานคร
เมื่อกล่าวถึงคำว่าพุทธมณฑลอีสานหรือที่เรียกว่าสะดืออีสาน  สะดือเปรียบเสมือนศูนย์กลางของร่างกายทั้งนี้สะดืออีสานจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางของภาคอีสาน   จังหวัดมหาสารคามเป็นจังหวัดที่ ๔๔ ของราชอาณาจักรไทย   เป็นจังหวัดที่อยู่ใจกลางของภูมิภาคอีสาน จังหวัดมหาสารคามได้ชื่อว่าเป็นเมือง “ตักศิลานคร”   คำว่า ตักสิลานคร หมายถึงเมืองที่มีการศึกษาที่ดี  คำว่าตักศิลานครนี้ในอดีตเป็นชื่อเมืองตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐปัญจาบ เป็นมหาวิทยาลัยและเป็นศูนย์กลางของศิลปวิชาการในอดีตของอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมีสำนักอาจารย์ทิศาปาติโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษย์ที่มาเล่าเรียนในแถบดินแดนชมพูทวีปบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงหลายท่านที่สำเร็จการศึกษาจากที่แห่งนี้   เช่น

 พระเจ้าปเสนทิโกศล  หมอชีวกโกมารภัจจ์  และองคุลีมาล  ปัจจุบันนี้ตักศิลาอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงอิสลามาบัด  ซึ่งเมืองมหาสารคามนั้นมีความหมายว่าเมืองที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษามีสถานศึกษาหลายแห่งเช่น  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ฯลฯ

ซึ่งมหาลัยที่มีความโดดเด่นในเรื่องการศึกษาในความเป็นครูในอดีตจนถึงปัจจุบันมากที่สุด คือ

 มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๔๖๘ ตั้งเป็น  โรงเรียนประถมกสิกรรม                          ที่บริเวณวิทยาลัยเทคนิคมหาสารคามในปัจจุบันและเมื่อพ.ศ.๒๔๗๐ได้ย้ายไปตั้งที่โคกอีด่อย   ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมหาสารคามไปทางทิศตะวันตกประมาณ  ๔ กิโลเมตรซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ-มหาสารคามในปัจจุบัน  พ.ศ.๒๔๗๓ เปลี่ยนฐานะเป็นโรงเรียนประถมวิสามัญและฝึกหัดครูกสิกรรมชั้นต่ำและปีต่อมาได้ยุบเลิกแผนแผนกฝึกหัดครูกสิกรรมชั้นต่ำเหลืออยู่เฉพาะโรงเรียนประถมวิสามัญเมื่อ

พ.ศ. ๒๔๘๑ ยกฐานะเป็นโรงเรียนประกาศนียบัตรจังหวัด   เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๘ เปลี่ยนฐานะเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู  
พ.ศ.๒๕๐๕ ( พฤษภาคม ) ได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยครูมหาสารคาม และในปีพ.ศ.๒๕๓๕(๑๔ กุมภาพันธ์)
วิทยาลัยครูทุกแห่งได้รับพระราชทานนามว่า สถาบันราชภัฏและวันที่ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ให้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ พ.ศ.๒๕๔๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.๒๕๔๗   ซึ่งส่งผลให้สถาบันราชภัฏมหาสารคามเปลี่ยน สถานะเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน    

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ความรู้กลางภูมิภาคอีสาน  มีหลากหลายคณะให้เลือกในการศึกษา อาทิ  คณะครุศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร  คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง   

ที่เปิดให้ผู้ที่สนใจที่จะศึกษาได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งเปิดสอนในภาคปกติและภาคกศบป. 

๘๐กว่าปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามได้สร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพสำเร็จการศึกษาไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น  เป็นคนที่มาพัฒนาในสิ่งที่ดีในสังคม นี้คงเป็นเครื่องการันตีว่า    มหาวิทยาลัยราชภัฏ-มหาสารคามเป็นสถานศึกษาที่ดี  มีคุณภาพอีกแห่ง  จากประสบการณ์ที่ดิฉันได้เข้ามาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นระยะเวลา ๓ ปีมาแล้ว  ดิฉันสัมผัสได้ว่าดิฉันเลือกไม่ผิดที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพราะเป็นทั้งแหล่งสถานศึกษา  เป็นทั้งที่พักพิงในยามที่ขาดเขลา  เป็นเสมือนบ้านอีกหลังที่คอยให้ความอบอุ่นเมื่อยามเหนื่อยล่าจากการทำงาน  มีครูบา อาจารย์ให้คำปรึกษาเสมอมา  นักศึกษาเปรียบเสมือนญาติพี่น้องกัน  มีความถ้อยทีถ้อยอาศัย  มีน้ำใจซึ่งกันและกัน                เมื่อเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งดิฉันมั่นใจในศักยภาพของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามว่าเป็นมหาลัยที่มีความสุขที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดมหาสารคาม หรือเป็นมหาลัยที่มีความสุขอีกมหาลัยหนึ่งของประเทศ  และสมกับคำนี้ที่ว่า  “ตักศิลานคร” ซึ่งเป็นบ้านเกิดอันเป็นที่รักของดิฉัน  ซึ่งเปรียบได้กับคำประพันธ์ที่ว่า


เมืองมหาสารคามนี้งามนัก               งามด้วยรักงามด้วยรู้คู่ถิ่นสยาม

สืบสมบัติวัฒนธรรมที่ดีงาม              สารคามคุณค่าสาระคน

                                                                                                                                 นางสาวดวงเดือน คำบุญเกิด


รหัสนักศึกษา ๕๔๓๔๑๐๐๑๐๑๑๕
สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
                                                                                                                                                ชั้นปีมี่ ๓ หมู่รียนที่ ๑

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

บทเห่ชมปลา


บทเห่ชมปลา

                        กาพย์

พิศพรรณปลาว่ายเคล้า
คิดถึงเจ้าเศร้าอารมณ์
มัตสยายังรู้ชม
สาสมใจไม่พามา
นวลจันทร์เป็นนวลจริง
เจ้างามพริ้งยิ่งนวลปลา
คางเบือนเบือนหน้ามา
ไม่งามเท่าเจ้าเบือนชาย
เพียนทองงามดั่งทอง
ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย
กระแหแหห่างชาย
ดั่งสายสวาทคลาดจากสม
แก้มช้ำช้ำใครต้อง
อันแก้มน้องช้ำเพราะชม
ปลาทุกทุกข์อกกรม
เหมือนทุกข์พี่ที่จากนาง
น้ำเงินคือเงินยวง
ขาวพรายช่วงสีสำอาง
ไม่เทียบเปรียบโฉมนาง
งามเรืองเรื่อเนื้อสองสี**
ปลากรายว่ายเคียงคู่
เคล้ากันอยู่ดูงามดี
แต่นางห่างเหินพี่
เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร
หางไก่ว่ายแหวกว่าย
หางไก่คล้ายไม่มีหงอน
คิดอนงค์องค์เอวอร
ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร
ปลาสร้อยลอยล่องชล
ว่ายเวียนวนปนกันไป
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย
ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย
เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ
เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย
ใครต้องข้องจิตชาย
ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
ปลาเสือเหลือที่ตา
เลื่อนแหลมกว่าปลาทั้งปวง
เหมือนตาสุดาดวง
ดูแหลมล้ำขำเพราคม
แมลงภู่คู่เคียงว่าย
เห็นคล้ายคล้ายน่าเชยชม
คิดความยามเมื่อสม
สนิทเคล้าเจ้าเอวบาง
หวีเกศเพศชื่อปลา
คิดสุดาอ่าองค์นาง
หวีเกล้าเจ้าสระสาง
เส้นเกศสลวยรวยกลิ่นหอม
ชะแวงแฝงฝั่งแนบ
ชะวาดแอบแปบปนปลอม
เหมือนพี่แอบแนบถนอม
จอมสวาทนาฏบังอร
พิศดูหมู่มัจฉา
ว่ายแหวกมาในสาคร
คะนึงนุชสุดสายสมร
มาด้วยพี่จะดีใจ

กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร

อ้างอิง : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร.กาพย์เห่เรือบทเห่ชมปลา. (๒๕๕๔). ค้นเมื่อ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๖.

 จาก http://pranpanninlive.exteen.com/page-3

จากบทประพันธ์ข้างต้น ผู้ประพันธ์มีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ภาษาเพื่อสร้างงานวรรณกรรม ประเภทร้อยกรอง  “กาพย์เห่เรือบทชมปลา ของ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร”  จากบทประพันธ์จะปรากฏโวหารภาพพจน์ ดังนี้

๑. โวหารอุปมา  เป็นโวหารที่เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งว่าคล้ายกัน  ใช้คำเชื่อม ปาน ดั่ง  เหมือน เสมือน ดุจ ประดุจ ฯลฯ  ซึ่งปรากฏในบทประพันธ์ข้างต้น ดังนี้

เพียนทองงามดั่งทอง
ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย
กระแหแหห่างชาย
ดั่งสายสวาทคลาดจากสม

ข้อความดังกล่าวเป็นการอุปมา ปลาเพียนทองว่ามีความงดงามอย่างทองมากแต่ไม่งดงามเท่ากับน้องที่ห่มผ้าตาดพรายและเปรียบเทียบปลากระแห ซึ่งมีการเล่นคำว่าแหห่าง เปรียบเสมือนว่าพี่ต้องห่างจากน้อง 

ปลาสร้อยลอยล่องชล
ว่ายเวียนวนปนกันไป
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย
ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย ฯลฯ
ปลาเสือเหลือที่ตา
เลื่อนแหลมกว่าปลาทั้งปวง
เหมือนตาสุดาดวง
ดูแหลมล้ำขำเพราคม   ฯลฯ      

ข้อความดังกล่าวเป็นการอุปมา ปลาเสือว่ามีดวงตาที่แหลมคมเหมือกับตานางที่มองแล้วมีความคมขำสวยงาม

ชะแวงแฝงฝั่งแนบ
ชะวาดแอบแปบปนปลอม
เหมือนพี่แอบแนบถนอม
จอมสวาทนาฏบังอร  ฯลฯ

ข้อความดังกล่าวเป็นการปลาชะแวงและปลาชะวาดที่กำลังว่ายน้ำลำตัวแนบแอบชิดกันเหมือนกับตอนที่พี่นั้นได้อยู่ใกล้น้อง

๒. โวหารอุปลักษณ์ เป็นโวหารที่ใช้เปรียบเทียบของสองสิ่งว่าเป็น หรือคือสิ่งเดียวกัน คำเชื่อมที่ใช้ เป็น คือ เท่า ได้แก่   ซึ่งปรากฏในบทประพันธ์ข้างต้น ดังนี้

น้ำเงินคือเงินยวง
ขาวพรายช่วงสีสำอาง
ไม่เทียบเปรียบโฉมนาง
งามเรืองเรื่อเนื้อสองสี

ข้อความดังกล่าวเป็นการบอกว่าปลาที่มีสีน้ำเงินนั้นเป็นปลาเงินยวง

จากบทประพันธ์ข้างต้นนี้ลักษณะ ถ้อยคำ ใช้ถ้อยคำเกลี้ยงเกลาสละสลวย ไพเราะด้วยการสัมผัสและทำให้เกิดภาพพจน์ มีรสในวรรณคดีที่ปรากฏในบทประพันธ์ คือ

๑. เสาวรจนี เป็นรสความไพเราะเกี่ยวกับการชม ความงาม อาจเป็นความงามของปลาและนางอันเป็นที่รัก

๒.นารีปราโมทย์ เป็นรสที่แสดงความรักใคร่ หรือบทโอ้โลม